วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ไบโอตินกับภาวะผมร่วง


           
      (ภาพประกอบจาก www.kroobannok.com)

ปัญหาผมเสียก็อาจจะสร้างความหนักใจให้แก่ผู้หญิงเรามากอยู่แล้ว แต่หากต้องเผชิญกับปัญหาผมร่วง ผมบางอีก ยิ่งจะสร้างความกังวลเป็นทวีคูณ และไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร ควรดูแลเส้นผมและหนังศีรษะอย่างไร ให้มีสุขภาพดีเหมือนคนอื่นๆ วันนี้จะพาคุณมาใกล้ชิดกับประโยชน์ดีๆ จากไบโอตินหรือวิตามินเอชกันค่ะ

ไบโอตินหรือวิตามินเอชนั้น จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบี เป็นวิตามินละลายน้ำ เป็นสารที่มีความจำเป็นต่อขบวนการเมตาโบลิซึม หรือการเผาผลาญพลังงานจากทั้งคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน ซึ่งโดยปกติแล้วมนุษย์เราได้รับไบโอตินจากสารอาหารธรรมชาติในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว โดยอาหารที่อุดมไปด้วยไบโอติน ได้แก่ บริวเวอร์ยีสต์ (Brewer’s yeast) นมสด ไข่แดงอาหารจำพวกตับ ตับวัว ตับหมู ไตวัว เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว หอยนางรม ปลา น้ำมันปลา นมผึ้ง ข้าวกล้อง ข้าวโพด รำข้าวสาลี ไข่ นม เนย โยเกิร์ต ผักต่างๆ โดยเฉพาะดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี เห็ด แครอท กล้วย เป็นต้น

แต่ถ้าร่างกายของเราขาดไบโอตินไป หรือหากได้รับไบโอตินไม่เพียงพอนั้น ขบวนการใช้พลังงานต่างๆ ในร่างกายอาจเกิดความผิดปกติขึ้นได้ เช่น ภาวะผมร่วง ผมบาง เล็บเปราะฉีกขาดง่าย หมดเรี่ยวแรง มีอาการคลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น ดังนั้น การใส่ใจดูแลตนเองในเรื่องอาหารการกินก็สำคัญมาก และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในหนึ่งวัน เราจะเจอกับผงชูรสกี่ช้อนชา เจอมลภาวะต่างๆ รวมถึงความเครียดก็มีส่วนที่ทำให้เกิดภาวะผมร่วง ผมบางได้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในรายที่ขาดไบโอติน ก็สามารถรับประทานเสริมได้ แนะนำว่าควรทานคู่กับซิงค์ (สังกะสี) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้เส้นผมค่ะ

รู้ประโยชน์ดีๆ อย่างนี้แล้วใส่ใจตัวเองมากขึ้นก็หมดความกังวลต่อภาวะผมร่วง ผมบางค่ะ



อ้างอิง: Good News Shop, www.pharmacy.cmu.ac.th/dic

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดูแลปัญหาผมร่วงด้วยสูตรง่ายๆ



(ภาพประกอบจาก women.postjung.com)


       ถึงแม้ว่าอาการผมร่วงผมบางจะไม่ได้เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่เชื่อได้ว่าถ้าเส้นผมของเราเกิดร่วงไปและไม่กลับขึ้นมาใหม่ จนกลายเป็นคนศีรษะล้าน หลายๆ คนคงจิตตกได้ง่ายแน่ๆ  อาการผมร่วงสังเกตุได้จากจำนวนเส้นผมที่หลุดร่วงในแต่ละวัน หากนับรวมกันเกิน 100 เส้นต่อวันก็ถือว่าเข้าข่ายมีอาการผมร่วงได้แล้ว หากไม่มั่นใจว่าจะสามารถเก็บเส้นผมที่หลุดร่วงทั้งวันได้ ขอแนะนำเทคนิคในการตรวจสอบอีกวิธีหนึ่งคือ เทคนิคการดึงผม (hair pull) โดยการหยิบเส้นผมของเราขึ้นมาหนึ่งกระจุกแล้วนับให้ได้ราว 60  เส้น ใช้นิ้วจับเส้นผมบริเวณโคนผม ให้พออยู่แล้วดึงรูดไปทางปลายผมช้าๆ โดยไม่ต้องใช้แรงมาก ทำซ้ำในบริเวณศรีษะ ส่วนอื่นอีก 6 ครั้ง หากการดึงแต่ละครั้งมีเส้นผมร่วงหลุดติดมือมามากกว่า 6 เส้น แสดงว่าเข้าข่ายมีปัญหาผมร่วงเข้าแล้ว ส่วนใหญ่จะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงค่ะ แต่วันนี้เรามีวิธีการดูแลเส้นผมและหนังศีรษะมาฝากด้วยค่ะ เชื่อว่าต้องเป็นที่น่ายินดีของหลายๆ ท่านแน่ๆ ค่ะ สูตรต่างๆ ดังนี้
·      
        -   ดูแลหนังศีรษะล้าน ด้วยขิงแก่ 1 แง่งขนาดเท่าฝ่ามือมาตำให้ละเอียดแล้วห่อผ้าขาวบางทำลูกประคบ จากนั้นเอาหม้อมา 1 ใบ ใส่น้ำและขึงผ้าขาวบางไว้ตรงปากหม้อ ต้มน้ำจนเดือดแล้วเอาขิงที่เราห่อผ้าขาวบางไว้มาวางบนปากหม้อ (ควรทำ 2 ห่อ เพื่อผลัดเปลี่ยนกัน) เมื่อน้ำเดือด ไอน้ำจะระเหยขึ้นปากหม้อทำให้ลูกประคบขิงมีความร้อน จากนั้นนำลูกประคบมาประคบบริเวณที่ผมร่วง พอเย็นเอากลับไปวางที่ปากหม้อเพื่อรมไอน้ำ แล้วเปลี่ยนอีกห่อมาประคบแทน ทำวันละ 2 ครั้งๆ ละ 20-30 นาที ประมาณ 3-5 วัน จะเห็นผล

 -  ดูแลหนังศีรษะ กรณีผมจากสาเหตุ เชื้อราบนหนังศีรษะ ใช้ใบทองพันชั่งตำจนละเอียด ผสมน้ำพอเหนียว นำมาพอกบนศีรษะบริเวณที่ร่วง หลังจากสระผมเสร็จแล้ว จากนั้นใช้ผ้าคลุมไว้ทั้งคืน รุ่งเช้าล้างออก ทำติดต่อกัน 2 สัปดาห์ถึง 2 เดือน อาการผมร่วงจะดีขึ้นเพราะทองพันชั่งมีฤทธิ์ระงับเชื้อรา

      -  ดูแลหนังศีรษะล้าน โดยการนำมะกรูด 4 ผล ใส่หม้อแล้วต้มกับน้ำสักครู่ ใช้ไฟปานกลาง พอมะกรูดนิ่มๆ ยกลง จากนั้นผ่ามะกรูดครึ่งลูกทั้ง 4 ลูก นำไปคั้นเอาแต่น้ำมะกรูดแล้วใช้ผ้าขาวบางกรองน้ำมะกรูดใส่ภาชนะไว้ หลังจากสระผมให้สะอาดไม่ต้องสระผมด้วยแชมพูอีกแล้ว ให้ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง สูตรนี้เหมาะสำหรับผมร่วงที่เกิดจากแชมพูเป็นด่างมากเกินไป

-       -     ดูแลหนังศีรษะล้าน โดยเหง้าขิงขนาดเท่าหัวแม่มือมาอังไฟให้อุ่นจัด แล้วนำไปบดให้ละเอียด จากนั้นก็นำมาทาให้ทั่วหนังศีรษะ น้ำมันในขิงจะช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผม ทำให้ผมที่ขึ้นมาใหม่มีความแข็งแรงด้วย
           ลองทำดูนะคะ ไม่ยากและไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายด้วยค่ะ ขอให้มีหนังศีรษะและเส้นผมสุขภาพดีกันทุกคนค่ะ

__________________________________________________________________

อ้างอิงข้อมูลจาก : www.cherishgroup.net , cherishshop.tarad.com, gnewstrading.com

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เข้าใจต้นเหตุเกิดโรคริดสีดวงทวาร


โรคริดสีดวงทวารอาจสร้างความเจ็บปวดและอับอายแก่ผู้ที่พบเจอโรคนี้ แล้วทราบไหมคะว่า สาเหตุหลักๆ เกิดจาก
การเบ่งถ่ายอุจจาระบ่อยๆ นานๆ ค่ะ ซึ่งเป็นผลจากการท้องผูก การตั้งครรภ์ พฤติกรรมการดำรงชีวิต และลักษณะของการถ่ายอุจจาระ เช่น ชอบอ่านหนังสือในห้องสุขา การถ่ายอุจจาระบนส้วมชักโครก การยกของหนักๆ การนั่งหรือยืนท่าใดท่าหนึ่งติดต่อกันนานๆ การกลั้นอุจจาระ เป็นต้น รวมถึงการเบ่งอุจจาระบ่อยๆ นานๆ จะส่งผลเพิ่มระดับแรงดันในช่องท้อง ทำให้การไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักไม่สะดวก เกิดการยืด ย่น คด งอ พอง และโตขึ้นเป็นติ่งเนื้อ เมื่อใดก็ตามที่มีของแข็งๆ มาเสียดสี เช่น อุจจาระแข็งๆ หรือเพิ่มระดับแรงดันขึ้นอีก ก็จะทำให้เกิดการปริแตกหรือฉีกขาดของหลอดเลือดดำ ทำให้เกิดเลือดออกมาเป็นเลือดสดๆ ได้นั่นเอง
              
นอกจากการเบ่งถ่ายอุจจาระนานๆ ที่เป็นสาเหตุหลักแล้ว ยังพบว่าระดับความดันเลือดในตับที่สูง (ซึ่งเกิดได้จากความอ้วน หรือโรคตับ) อายุที่มากขึ้น อาการท้องเสียเรื้อรัง หรือการร่วมเพศทางทวารหนัก ล้วนเป็นปัจจัยเสริมทำให้เกิดริดสีดวงทวารหนักได้เช่นกัน ดังนั้น ลองสำรวจพฤติกรรมการกิน การขับถ่ายของเราหน่อยนะคะ ว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคริดสีดวงทวารมากน้อยเพียงใด และการหลีกเลี่ยงก็ทำได้ง่ายมากๆ เลยค่ะ มาดูกันค่ะว่ามีวิธีไหนบ้าง

1.ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 1-2 ลิตร หรือ 8-10 แก้ว ประโยชน์ของการดื่มน้ำ ทราบกันอยู่แล้วใช่ไหมว่า ดีต่อสุขภาพที่สุด
2.เลี่ยงอาหารประเภทเนื้อหรือพวกอาหารที่มีกากน้อย และกินผักผลไม้ที่มีกากมากขึ้น เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท มะละกอ สับปะรด เป็นต้น หากเริ่มท้องผูกต้องใส่ใจอาหารให้มากขึ้นแล้วค่ะ
3.ออกกำลังกาย อย่าเพิ่งออกตัวว่าไม่มีเวลานะคะ เพราะสุขภาพที่แข็งแรงมาจากการออกกำลังกายทั้งนั้นค่ะ
4.ฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา ซึ่งช่วงเวลาที่ระบบขับถ่ายดีที่สุด คือเวลา 05.00-07.00. ค่ะ ไม่ควรกลั้นอุจจาระ และนั่งถ่ายนานๆ (การนั่งถ่ายนานๆ มีรายละเอียดข้างต้น)
เห็นไหมล่ะคะว่า เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็ห่างไกลโรคริดสีดวงทวารแล้วค่ะ และหากใครกำลังประสบปัญหาเรื่องท้องผูกที่เสี่ยงให้เป็นโรคริดสีดวง สิ่งสำคัญคือ อย่ารอให้เป็นมากแล้วค่อยไปหาคุณหมอนะคะ ควรดูแลตัวเองในระดับเบื้องต้น ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรพบคุณหมอโดยด่วนค่ะ หรือในกรณีที่ไม่เข้าใจอาการที่เป็นอยู่ก็ควรปรึกษาหรือพบคุณหมอเช่นกันค่ะ อย่าลืมนะคะ อยากมีสุขภาพดีห่างหมอไกลโรค เริ่มที่ตัวเองเท่านั้นค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูล: Thaiware.com, ข้อมูลโดยนิตยสารหมอชาวบ้าน, www.blessingplus.com , gnewstrading.com

วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556

วัยไหนควรเติมคอลลาเจนด้วย colly pink


  

ในวัยเด็ก วัยใสๆ คอลลาเจนยังไม่เสื่อมสลายและมีจำนวนมากค่ะ จึงทำให้เห็นว่าเด็กๆ หรือวัยรุ่นจะมีผิวหนังที่เต่งตึง แต่เมื่อวัยมากขึ้น เส้นใยคอลลาเจนเหล่านี้จะเสื่อมสลายและมีปริมาณลดลง ทำให้ชั้นผิวหนังยุบตัวลง อันเป็นต้นเหตุของความเหี่ยวย่นและริ้วรอย ยิ่งสูงวัยขึ้นเท่าใด ริ้วรอยแห่งวัยก็เห็นชัดขึ้นเท่านั้น ริ้วรอยแรกที่มาเยือนที่เป็นที่รู้จักกันดีก็คือ รอยตีนกา เนื่องจากผิวหนังรอบดวงตามีความบอบบางมาก อีกทั้งกล้ามเนื้อรอบดวงตาก็เป็นกล้ามเนื้อวงกลม ไม่มีอะไรยึด ผิวรอบดวงตาก็เลยจะเหี่ยวมากกว่าที่อื่น

ทราบอย่างนี้แล้วเราควรเติมคอลลาเจนให้ผิวด้วยนะคะ ขอแนะนำ colly pink ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร    คอลลาเจน ที่เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ประสานกันเป็นเส้นใยอยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้ ทำหน้าที่เสริมความเรียบตึงให้แก่ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังดูเรียบเนียนนั่นเอง ง่ายๆ ด้วยการทาน แต่หากคุณสนใจวิธีการฉีดเข้าใต้ชั้นผิวหนังแท้ ข้อเสียของการฉีดเข้าสู่ร่างกายก็คือ ต้องเจ็บตัวและค่าใช้จ่ายสูงกว่ามากค่ะ มีข้อดีคือผิวที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอยสามารถเห็นผลได้ทันที หากได้รับการฉีดโดยแพทย์ทผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง  และต้องฉีดทุก 4-6 เดือน เพราะการฉีดมีความเสี่ยงจึงควรศึกษาให้ดีก่อนค่ะ

ง่ายๆ ค่ะ ด้วย colly pink คอลลาเจนผง ทานง่าย อร่อย ได้คุณค่าบำรุงให้ผิวอิ่มเอิบได้แล้ววันนี้ที่ ง่ายและสะดวกขนาดนี้ อย่ารีรอที่จะเติมคอลลาเจนผิวให้แข็งแรง อิ่มเอิบกันนะคะ เพราะผิวของแต่ละวัยดังที่กล่าวข้างต้น มีความยืดหยุ่นมากน้อยแตกต่างกันไป ยิ่งอายุมากขึ้นความยืดหยุ่นของชั้นผิวยิ่งลดลง colly pink จึงอยากให้คุณเติมเต็มความอิ่มเอิบให้ผิวง่ายๆ กันค่ะ อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพเบื้องต้นก็สำคัญมากๆ ฉะนั้น คอลลาเจนจากอาหารที่ได้รับในแต่ละวันไม่เพียงพออยู่แล้ว จึงควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีและมีผิวสวย เรียบเนียน กับเคล็ดลับง่ายๆ แบบฉบับสาวๆ colly pink ค่ะ


อ้างอิงข้อมูล cherishshop.tarad.com, gnewstrading.com

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มาการล้างลำไส้ ( Detox ) กับไฮคิวโปร (Hi Q Pro)




ไฮคิวโปร (Hi Q Pro) อยากบอกว่า การล้างลำไส้ (Detox) จะช่วยทำความสะอาดและขจัดสิ่งสกปรกของเสีย กากอาหาร รวมทั้งสารพิษที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ให้หมดไป เนื่องจากของเสียเหล่านี้ มักถูกขับถ่ายออกได้ไม่หมดจึงตกค้างอยู่ในลำไส้ บางครั้งจะเกาะติดอยู่ตามผนังของลำไส้เป็นตะกรัน เป็นอุจจาระ เนื้อเยื่อของเซลล์ที่ตาย พยาธิ และน้ำเมือกที่ถูกสะสมไว้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นผลร้ายต่อร่างกายจนทำให้เกิดอาการต่างๆ ของโรค เช่น ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก ถ่ายไม่ออก ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ และผายลมบ่อยๆ
เมื่อลำไส้ทำงานอย่างผิดปกติ จะส่งผลให้โครงสร้างและขนาดลำไส้เปลี่ยนไป ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา ไฮคิวโปร (Hi Q Pro) ช่วยคุณได้ ด้วยการทำความสะอาดลำไส้หรือดีท็อกซ์ (Detox) อุจจาระ แบคทีเรีย ที่เป็นโทษต่อร่างกาย และสารพิษต่างๆ จะถูกชะล้างออกไป ซึ่งในระยะยาวร่างกายก็จะไม่เกิดการสะสมสารพิษเหล่านี้ เมื่อสารพิษเหล่านี้ถูกกำจัดออกไปลำไส้จะสามารถทำงานได้ตามปกติ
ดังนั้น ไฮคิวโปร (Hi Q Pro) จึงอยากให้ทุกคนมีสุขภาพดี เพราะมีใยอาหารที่จำเป็นต่อระบบขับถ่าย ที่จะล้างสารพิษแบบธรรมชาติบำบัด เพราะทานง่ายได้สุขภาพดีดี ไฮคิวโปร (Hi Q Pro) เชื่อว่าสุขภาพดีต้องเริ่มจากภายใน มาล้างสารพิษออกจากร่างกายง่ายๆ กับ ไฮคิวโปร (Hi Q Pro) กันนะคะ


อ้างอิงข้อมูลจาก : เว็บไซต์โรงพยาบาลวิภาวดี , www.cherishgroup.net , cherishshop.talad.com, gnewstrading.com
 ภาพประกอบ: www.cherishgroup.net 

วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ปัญหาท้องผูกเรื่องปกติที่ไม่ควรมองข้าม



เรามักเข้าใจว่าต้องเข้าห้องน้ำทุกวัน แต่ร่างกายบางคนแตกต่างกันออกไป ผู้ที่มีปัญหาท้องผูก คือ ผู้ที่ถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ผู้ที่มีปัญหาถ่ายอุจจาระยากต้องใช้แรงเบ่งมาก หรือผู้ที่ถ่ายอุจจาระไม่สุดอยู่บ่อยๆ

อุจจาระแข็งนอกจากจะต้องเบ่งทรมานขณะขับถ่าย  ถ้าเบ่งถ่ายบ่อยก็จะทำให้เส้นเลือดฝอยที่อยู่บริเวณรอบรูทวารหนักจะโป่งพองทำให้เกิดริดสีดวงตามมา หากเป็นนิดหน่อยจะหายไปได้เองแต่หากมากก็อาจทำให้เกิดติ่งเนื้อเวลาที่ถ่าย ลักษณะเดิมอีกก็จะเจ็บมากเกิดการอักเสบ อาการท้องผูกยังส่งผลต่อการย่อยอาหารท้องอืด เรอบ่อย มีกลิ่นปาก และเป็นสิวด้วย

ป้องกันท้องผูกอย่างไร?
ท้องผูกรักษาได้ด้วยการดูแลตัวเองมากขึ้นอีกนิด ทานผัก ผลไม้ให้มากขึ้น หากไม่ชอบทานผักผลไม้ แนะนำให้คั้นหรือปั่นเองดีกว่าซื้อมาทานค่ะ แต่อย่าเผลอเติมน้ำตาลนิด เกลือหน่อย เพิ่มนมนิด ใส่ๆๆ เข้าไปแบบนี้ เดี๋ยวจะเพิ่มความอ้วนให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัวนะคะ ที่สำคัญอย่าลืมดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อผิวจะได้ชุ่มชื่น และหมั่นมีวินัยในการออกกำลังกายด้วย เพื่อสุขภาพที่ดีค่ะ

แต่ถ้าเบื่อหน่ายกับการหาสูตรหรือทำตามสูตรลดอาการท้องผูก ซึ่งเข้าใจว่าดูยุ่งยาก วุ่นวายเสียเหลือเกิน (ยกเว้นว่าจะเป็นคุณหนูที่มีแม่บ้านดูแลให้นะคะ) แต่ เรนจิ (Renji) เข้าใจถึงปัญหาท้องผูก แนะนำให้ทานใยอาหาร ผักผลไม้รวม แหล่งใยอาหาร และวิตามินที่จะช่วยให้อาการท้องผูกลดลง และยังช่วยล้างสารพิษให้ด้วย ทานแล้วไม่อ้วน ผิวสวยด้วย หากทำได้อย่างนี้รับรองว่าอาการท้องผูกก็จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไปค่ะ รู้อย่างนี้แล้วไม่อยากท้องผูก ทราบ!!! ปฏิบัติด่วนค่ะ


แหล่งข้อมูล: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์, www.blessingplus.com, gnewstrading.com   
ภาพประกอบ: health.kapook.com

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แอล-กลูต้าไธโอน มีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด


หลายๆ คนคงรู้จักสารต้านอนุมูลอิสระมาบ้างแล้ว แต่ทราบไหมคะว่าสาร แอล-กลูต้าไธโอน ที่เข้าใจกันว่าช่วยในเรื่องของผิวให้ขาว สว่างใสนั้น มีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด
แอล-กลูต้าไธโอน (L-Glutathione) เป็นสารประเภท Tripeptide ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิดค่ะ ได้แก่ Cysteine (ซิสเทอีน), Glycine (ไกลซีน) และ Glutamic acid (กลูตามิกแอซิต) พบมากที่ตับของมนุษย์ ซึ่งประโยชน์ของแอล-กลูต้าไธโอนนั้นมีมากมายเลยทีเดียว เพราะแอล-กลูต้าไธโอนเป็นกรดอะมิโนที่สำคัญในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน สาเหตุของการเกิด กระ ฝ้า และจุดด่างดำค่ะ ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์และช่วยสร้างเอนไซม์ชนิดต่างๆ ในร่างกายของเราด้วย
นอกจากนี้ ยังมีวิตามินอี วิตามินซี เบต้าคาโรทีน ฯลฯ ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระหรือมีอีกชื่อว่า Antioxidant พบว่า เบต้าคาโรทีนมีมากในผักผลไม้บางชนิด เราจึงควรทานให้มากขึ้น ซึ่งอาหารที่มีเบต้าคาโรทีนสูง ได้แก่ ผักใบเขียว ผัก ผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น มะละกอสุก มะม่วงสุก มะเขือเทศ ฟักทอง อาหารที่ให้วิตามินซีสูง คือ พืชผักสีเขียวและผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ตำลึง ผักบุ้ง พริกหยวก ส้ม มะนาว สัปปะรด เป็นต้น ส่วนวิตามินอี พบในน้ำมันพืชต่างๆ ค่ะ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าร่างกายสามารถผลิตกลูต้าไธโอนได้เองหรือรับจากอาหารจำพวกผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ แต่สภาพแวดล้อมในปัจจุบัน อาทิ แสงแดด มลภาวะ ฝุ่น ควัน ความเครียด รังสีแกมม่า ยาบางชนิด เช่น Doxorubicin, Penicillamine, paracetamol, CCl4 เป็นต้น ทำให้ร่างกายได้รับกลูต้าไธโอนไม่เพียงพอค่ะ แล้วจะทำอย่างไรดี???

ไร้กังวลด้วย Gluty
Gluty เติมเต็มให้คุณด้วยประโยชน์จาก แอล-กลูต้าไธโอน, สารสกัดจากเมล็ดองุ่น, โคเอ็นไซน์ คิวเท็น, อะเซโรล่า เชอร์รี่, โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง, สารสกัดจากเปลือกสน, ไลโคปีน, วิตามินอี และกรดอะมิโนต่างๆ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่คัดสรรมาแล้วว่าใช้ได้ผลจริงเมื่อทานอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือน แต่จากการสำรวจพบว่าภายใน 2-3 อาทิตย์คุณก็จะเริ่มรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย ซึ่งการรับประทานแอล-กลูต้าไธโอนถือว่าปลอดภัยกว่าวิธีฉีดเข้าเส้นเลือดโดยตรงมากเลยทีเดียวค่ะ
รู้เคล็ดลับในการดูแลตัวเองแบบนี้แล้ว ใส่ใจดูแลตัวเองอีกนิดเพื่อสุขภาพที่ดี แล้วอย่าลืมดูแลและแบ่งปันเคล็ดลับดีๆ ให้แก่คนที่คุณรักด้วยนะคะ ขอให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีกับ Gluty ค่ะ

___________________________________________________________________________
ข้อมูลอ้างอิง: 1. www.samunpai.com : วิตามินและสารอาหาร.กลูต้าไธโอน, 2. www.thaiclinic.com : สารต้านอนุมูลอิสระ, 3. www.cherishgroup.net : ข้อมูลสารอาหาร cherishshop.talad.com, gnewstrading.com